ปีนัง เป็นหนึ่งในสิบสามรัฐที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธรัฐมาเลเซียเดิมชาวมาเลย์รุ่นแรกเรียกว่า ปูเลา
วา ซาตู หรือ เกาะเดี่ยว ต่อมาพบในแผนที่เดินเรือ เรียกว่า ปูเลา
ปีนัง หรือเกาะหมาก ต่อมาอังกฤษเรียกว่า เกาะปรินซ์
ออฟ เวลส์ และเมื่อมาเลเซียได้รับเอกราช จึงเปลี่ยนเป็นปูเลา ปีนัง
|
ต้นหมาก |
บนเกาะมีต้นหมากขึ้นอยู่มากมายทั่วทั้งเกาะ จึงถูกขนานนามว่า " เกาะหมาก " แต่เดิมนั้นเกาะปีนังหรือเกาะหมากเคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศ ซึ่งเกาะหมากนี้ขึ้นอยู่กับเมืองไทรบุรีของไทยในอดีตหรือรัฐเคดะห์ของประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน
ตามประวัติย่อ ๆ
ของปีนังก็เริ่มตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ตอนต้นที่อารยธรรมฮินดูแผ่อิทธิพลครอบคุมคาบสมุทรมลายูตอนเหนือ
จวบจนกระทั่งการเข้ามาของชาวตะวันตกไม่ว่าจะเป็น โปรตุเกส ดัชท์และอังกฤษที่เข้ามาแสวงหาเครื่องเทศและผลประโยชน์ทางการค้า
|
Sri Francis Light |
ต่อมาเซอร์ฟรานซิสไลท์
(Sri Francis Light) นักผจญภัยและพ่อค้าชาวอังกฤษได้เดินทางมาถึงยังเกาะปีนังเมือปี
ค.ศ. 1786 ท่านเซอร์มีความคิดว่าการที่ได้มีโอกาสครอบครองเกาะปีนังแห่งนี้จะเป็นประโยชน์ในการที่จะทำให้เกาะปีนังแห่งนี้เป็นสถานีการค้าของบริษัทบริติช
อีสท์อินเดียใช้เป็นที่พักเรือสินค้าเมื่อยามเดินทางไปค้าขายกับจีนและใช้เป็นฐานที่มั่นในการหาประโยชน์ทางการค้าให้กับอังกฤษในภูมิภาคนี้ โดยได้ขึ้นฝั่งที่ชายหาดปีนัง
ท่านเซอร์เริ่มแผนงานพูดโน้มน้าวให้สุลต่านแห่งรัฐเคดะห์ยอมให้บริษัทบริติช
อีสท์อินเดียทำการเช่าเกาะปีนังแลกกับการคุ้มครองไม่ให้ถูกรุกรานจากสยามประเทศซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่1 ได้สำเร็จ
และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการเกาะปีนังเป็นคนแรก
แต่ถึงอย่างไรก็ตามสุลต่านแห่งรัฐเคดะห์ก็ต้องเสียดินแดนบนคาบสมุทรในส่วนของเซอเบรังหรือเมืองบัตเตอร์เวอร์ธให้แก่สยาม
และเมื่อเซอร์ฟรานซิสไลท์ทำข้อตกลงกับราชสำนักเคดะห์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงทำการยกพลขึ้นบกบริเวณที่เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมืองในปัจจุบันโดยแต่เดิมบริเวณพื้นที่แห่งนี้เป็นป่ารกทึบบรรดาแรงงานที่ถูกอังกฤษเกณฑ์มาจากอินเดียทำการหักร้างถางพง
(
บางประวัติก็เล่าว่าเขาเจตนายิงเหรียญทองคำเข้าไปในป่าแถบนั้นเพื่อเป็นอุบายให้ลูกน้องของเขา , แรงงานชาวอินเดียที่นำมา และชาวเกาะช่วยถางป่าให้
)
|
พ่อค้าพานิชย์ต่างพากันมุ่งหัวเรือเข้ามาทำการค้าขายที่เกาะปีนัง |
จากนั้นทำการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้กลายเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าและตั้งชื่อเกาะนี้ว่า
เกาะปริ๊นซ์ออฟเวลส์ ( Prince of WalesIsland) และเมื่ออังกฤษได้เกาะปีนังมาครอบครองจึงตั้งเป็นท่าเรือเสรีโดยไม่เก็บภาษีการค้า
ทำให้บรรดาพ่อค้าจากเมืองต่างๆหลั่งไหลกันเข้ามาตั้งรกรากกันบนเกาะปีนังทั้งชาวจีน
อินเดีย และชวาโดยเฉพาะชาวจีนที่โล้สำเภามาจากเมืองฟูเจี้ยน
ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ของปีนังเป็นชาวจีน
ซึ่งต่างจากรัฐอื่นของมาเลเซียที่มีชาวมาเลย์มากกว่า
ส่วนใหญ่ชาวจีนจะเป็นผู้คุมเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด ส่วนชาวมาเลย์จะรับราชการและอื่นๆ
ตามนโยบาย "ภูมิบุตรา" หรือลูกหลานแห่งแผ่นดิน
ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมฉบับมาเลเซีย ที่ให้สิทธิพิเศษแก่คนมาเลย์ตั้งแต่เกิด
เพื่อให้มีโอกาสได้แข่งขันกับคนจีนในสังคมเดียวกันหลังจากนั้นเป็นต้นมา
ประชากรบนเกาะปีนังจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นชุมชนเมืองจึงตั้งชื่อเมืองท่าแห่งนี้ว่า George town ตามพระนามของพระเจ้าจอรจ์ที่ 3 แห่งอังกฤษ
|
ดร.มหาเธร์ มูฮัมหมัด |
หมายเหตุ - ดร.มหาเธร์ อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า " นโยบายภูมิบุตรา " ที่รัฐบาลหยิบยื่นให้ชาว
มาเลย์นั้นไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ชาวมาเลย์ยืนอยู่บนขาของตัวเองไม่ได้
ดร.มหาเธร์ เปรียบเปรยว่า ชาวมาเลย์นั้นชอบเดินด้วยไม้เท้า ไม่นานก็จะเป็นอัมพาต (
แต่ชาวมาเลย์ชอบใช้ไม้เท้าเพราะมันง่าย กว่าการยืนอยู่บนขาของตัวเอง )
ต่อมาในปี ค.ศ. 1800 สุลต่านเคดะห์ได้ยกดินแดนในส่วนที่อยู่บนพื้นแผ่นดินใหญ่คือจังหวัดเวลสเลย์
(Wellesley)ซึ่งตั้งชื่อตามผู้สำเร็จราชการแห่งอังกฤษประจำอินเดียตราบจนกระทั่งในปี
ค.ศ. 1832 ดินแดนปีนังทั้งหมดถูกรวมเป็นอาณานิคมของอังกฤษพร้อมกับมะละกาและสิงค์โปร์
เกาะปีนังเป็นศูนย์กลางของการค้าเครื่องเทศ เครื่องกระเบื้อง
ชาและผ้า สินค้าเหล่านี้มีค่ามากกว่าทองคำในสมัยนั้น เกาะปีนังอยู่ในการปกครองของอังกฤษมาประมาณร้อยกว่าปีจนมาเลเซียได้ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นตรงต่ออังกฤษอีกต่อไป โดยประกาศอิสรภาพที่เมืองมะละกาในปี ค.ศ. 1957 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 50 กว่าปีแล้ว ปัจจุบันปีนังได้รับการยกฐานะให้เป็นรัฐหนึ่งในสหพันธ์รัฐมาเลเซียเมื่อปี
ค.ศ. 1963 หลังจากนั้นเมืองปีนังได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
สังคมและการท่องเที่ยวกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีเรื่องราวประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจมากมาย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกรู้จักตราบจนทุกวันนี้ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น