วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

4. " เกาะไข่มุขแห่งตะวันออก 1 "


เกาะปีนังถูกขนานนามว่าเป็น เกาะไข่มุกแห่งตะวันออกตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรมลายู เป็นรัฐหนึ่งของมาเลเซีย เป็นเกาะตั้งอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ทางชายฝั่งตะวันตกของประเทศมีพื้นที่ประมาณ 285 ตารางกิโลเมตร กับส่วนที่อยู่บนพื้นแผ่นดินใหญ่และเป็นที่ตั้งของจอร์จทาวน์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ และเซอเบอรัง เปอไร ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งอีก 760 ตารางกิโลเมตร สำหรับพื้นที่ทั้งสองส่วนถูกคั่นด้วยช่องแคบที่มีความกว้างเพียง 3 กิโลเมตร ระหว่างท่าเรือเฟอรี่เมืองจอร์จทาวน์บนเกาะปีนังกับบัตเตอร์เวอร์ธบนฝั่งแผ่นดินใหญ่ เดิมทีไปมาหาสู่กันโดยเรือเฟอรี่ข้ามฟาก 
แต่ปัจจุบันรัฐบาลมาเลเซียได้ทำการสร้างสะพาน (Panang Bridge)โดยเชื่อมแผ่นดินสองส่วนเข้าหากันด้วยระยะทางยาวกว่า 13.5 กิโลเมตร จากเมืองไปร (Prai)ไปขึ้นฝั่งยังเกาะปีนัง เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

                        เกาะปีนังมีเมืองจอร์จทาวน์เป็นเมืองหลวงตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเป็นที่ตั้งของส่วน
ราชการ ศูนย์กลางการค้าการขนส่งมีประชากรอาศัยอยู่ราว 1 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชุมชนของคนจีนรองลงมาคือคนมาเลย์และคนเชื้อสายอินเดีย ด้วยเหตุนี้ภายในเมืองจอรจ์ทาวน์จึงเต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมของคนสามเชื้อชาติ เช่น อาคารร้านค้าต่างๆ ที่ยังคงเป็นห้องแถวสองชั้นยาวๆ ในยุคสมัยที่มาเลเซียเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
ในขณะที่ทางด้านเหนือของเกาะปีนังมีหาดทรายที่สวยงามจึงเป็นที่ตั้งของโรงแรมและรีสอร์ตหรูหลายแห่งจึงเหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยว ส่วนทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ของตัวเกาะเป็นนิคมอุตสหกรรมผลิตชิ้นส่วนสินค้าอีเล็คโทรนิคส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ สร้างรายได้ให้กับประเทศมาเลเซียมหาศาล นอกจากนี้บนเกาะปีนังยังมีสนามบินนานาชาติปีนังมีเครื่องบินของสายการบินชั้นนำจากทั่วโลกขึ้นลงเป็นประจำทุกวันๆละหลายๆเที่ยวซึ่งรวมทั้งสายการบินไทยและสายการบินแอร์เอเซียนอกจากนี้แล้วยังใช้เป็นสนามบินพาณิชย์ขนส่งสินค้าอีกด้วย และด้วยความสวยงามตามธรรมชาติและความหลากหลายทางวัฒนธรรมมีประวัติศาตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับชาติตะวันตกมาตลอดเกาะปีนังจึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วทุกมุมโลกเป็นอย่างดี
หมายเหตุ  - บางคนก็เล่าว่า ลีกวนยู สร้างประเทศสิงคโปร์ ด้วยแนวคิดจากเมืองปีนัง นี่เอง ..... 


                

                                                  Gorge town 

ที่นี่ Unesco ได้ให้การรับรองเป็นมรดกโลกทั้งเมืองครับ เมืองจะแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือส่วนมรดกโลกเข้มๆ แถวๆ กลางเมือง ส่วนรอบนอกที่พอจะมีตึกสมัยใหม่ แต่ด้วยความที่เป็นเมืองมรดกโลก เลยมีแต่ตึกหน้าตาแบบ colonial, ชีโนโปรตุกีส ต่อให้เป็น office ทันสมัยแค่ไหนตึกก็ต้องหน้าตา และเมืองนี้ไม่มีรถไฟฟ้า ต้องใช้รถเมล์แทน และก็มีรถถีบแนวๆ สามล้อถีบ (ซาเล้ง ) เรียกได้ว่าเอกลักษณ์ประจำเมือง 




 Queen Victoria Memorial Clocktower 

ซึ่งถือเป็น Landmark ที่สำคัญแห่งหนึ่งในเขตมรดกโลก อยู่ตรงบริเวณวงเวียนเล็กๆ โดยที่หอนาฬิกาแห่งนี้สูง 60 ฟุตสร้างตามความสูงเนื่องในโอกาสการเฉลิมฉลองพระชนมายุ 60 พรรษาของพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษในปี ค.ศ.1897 โดยมหาเศรษฐีชาวชื่อ เซียะห์ เช็น อ๊ก
St.George's Church


              โบสถ์ St. George’s Church เป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายแองกลิแคนของอังกฤษ
ที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้มีการก่อสร้างขึ้นปี 1818 โดยใช้แรงงานนักโทษ และเลียนแบบโบสถ์ St. George ที่ เมือง Madras ประตูทางเข้าของโบสถ์นี้ขนานนามตามชื่อนักบุญที่คุ้มครอง ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีลักษณะเป็นหลังคาครอบเพื่อเป็นที่ระลึกมอบให้แด่กัปตัน Francis Light

 City Hall and Town Hall 





"ศาลาว่าการเมือง และศาลากลางเมือง" ( City Hall and Town Hall ) อาคารสีขาว คือ ศาลาว่าการเมือง ส่วนอาคารสีเหลือง คือ ศาลากลางเมือง ครับ สร้างตั้งแต่ปี 1880 มีทั้งห้องประชุม ห้องบอลรูมและห้องสมุด ชาวจีนในสมัยก่อนเรียกว่า Ang Mo Kong Huan หรือ European Club ปัจจุบันทั้ง 2 อาคาร ได้รับการบูรณะยังใช้เป็นออฟฟิศทำงานของรัฐอยู่ครับ






 Koo Kong Si Temple 





                   เป็นศาลเจ้าซึ่งสร้างขึ้นเมื่อครั้งที่ชาวจีนบรรพบุรุษของตระกูลคู ผู้อพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ปีนังในศตวรรษที่ 19 การก่อสร้างเริ่มขึ้นเมื่อปี 1853 และแล้วเสร็จในปี 1898 โดยความร่วมมือของสมาคมผู้อพยพ มีวัตถุประสงค์ก่อตั้งเป็นกงสิเพื่อช่วยดูแลอุปถัมภ์การทำธุรกิจสำหรับคนในครอบครัว เพื่อน และผู้ร่วมธุรกิจ คูกงสิเป็นตัวอย่างงานสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เห็นถึงความปราณีตของงานสร้าง ตัวอาคารมีความยิ่งใหญ่สง่างามโดยเลียนแบบงานโครงสร้างจากพระราชวังของจักรพรรดิจีน ห้องโถงด้านใน งามวิจิตรด้วยลวดลายแกะสลักอันอ่อนช้อย โคมไฟ และเครื่องประดับมากมาย ทำจากไม้ ซึ่งแสดงถึงความมีฝีมือของช่างศิลป์จากเมืองจีน


Batu Ferringhi Beach
บาตูเฟอรินกิ คือชายหาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปีนัง ชายหาดทอดตัวขนานกับถนนริมชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจอร์จทาวน์ มีรีสอร์ทมาตรฐานระดับโลกตั้งเรียงรายไปตามชายหาด มีกิจกรรมในทะเลมากมาย ยามพระอาทิตย์ตก บาตูเฟอรินกิจะเต็มไปด้วยบรรยากาศสนุกสถานครึกครื้นจากร้านขายสินค้ากลางแจ้งที่ขายสินค้าทุกชนิด ตั้งแต่ของหรูหรา ไปจนถึงของที่ระลึก ริมถนนเฟอรินกิวอล์คมีร้านค้าที่น่าสนใจมากมาย นอกจากนี้ คุณยังสามารถชมการสาธิตกรรมวิธีผลิตงานศิลปะหรือวาดผ้าบาติกที่ต้องใช้ความละเอียดปราณีตได้อย่างใกล้ชิด

Penang Hill


ยอดเขาปีนังฮิลล์ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลมากกว่า 830 เมตร สามารถใช้เส้นทางการเดินขึ้นเขาโดยใช้ระยะเวลารวมทั้งสิ้นประมาณสี่ชั่วโมง หรือเลือกเดินทางโดยรถกระเช้าไฟฟ้าในระยะเวลาที่สั้นกว่าเพียง 30 นาที และเมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาจะได้สัมผัสอากาศเย็น กับวิวทิวทัศน์ที่งดงามของตัวเมืองจอร์ทาวน์ สะพานปีนังที่เชื่อมกับบัตอร์เวอร์ดและพื้นที่แนวยาวชายฝั่งทะเล เพลิดเพลินกับทัศนียภาพแบบกว้างไกลสุดสายตา 
 Snake temple 


วัดนี้มีแนวโน้มเป็นเพียงวัดเดียวในโลกที่มีคุณลักษณะไม่เหมือนใคร ภายในวัดมีงูพิษอาศัยอยู่มากมาย โดยสามารถพบเห็นงูเหล่านี้ขดตัวอยู่ตามกระถางธูป หรือก้านวงของธูปกำยานโดยไม่เลื้อยหนีไปไหน ซึ่งเชื่อกันว่ากลิ่นควันของกำยานที่จุดบูชาในวัดแห่งนี้ทำให้งูเหล่านี้ไม่มีอันตราย แต่เพื่อความปลอดภัยงูเหล่านี้ได้ถูกรีดพิษออกหมดแล้ว จึงไม่มีอันตรายต่อนักท่องเที่ยวและผู้ที่เข้ามาสักการะบูชา ถึงกระนั้นผู้ที่แวะมาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้มักเป็นผู้ที่มีใจกล้าพอเท่านั้น  
Bukit Jambul





แวะเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวชมนอกเมืองที่สวนกล้วยไม้และพืชพรรณไม้ดอก สวนสาธารณะที่บูกิต แจมบุล (Bukit Jambul) แห่งนี้ยังมีส่วนที่น่าสนใจอื่นๆ นอกเหนือจากสวนกล้วยไม้และพืชพรรณไม้ดอก ได้แก่ ฟาร์มสัตว์เลื้อยคลาน สวนตะบองเพชร สวนกวาง สวนบ่อน้ำญี่ปุ่น และน้ำตกอีกหลายแห่ง รวมถึงมุมเครื่องปั้นดินเผาและร้านขายสินค้าจากงานฝีมือภายในท้องถิ่นอีกด้วย






Fort Cornwallis

ป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่กัปตันฟรานซิสไลท์ ( ภายหลังได้รับการสถาปณาเป็นท่านเซอร์ ) มาจอดเรือเทียบท่าเกาะปีนังเมื่อปีค.ศ.  1786 ตัว ป้อมซึ่งตั้งชื่อตาม ชาร์ล คอร์นเวลลิส ผู้สำเร็จราชการของอังกฤษประจำเมืองเบงกอลในช่วงปลายทศวรรษที่ 1700 โครงสร้างเดิมของป้อมเป็นเพนียดล้อมด้วยรั้วไม้สูง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโครงสร้างคอนกรีตในปีค.ศ.  1804   ภายในป้อมมี โบสถ์ คุกขังนักโทษ คลังเก็บดินปืน ประภาคาร เสาธงเก่า และปืนใหญ่สำริด ที่ถือเป็นความโดดเด่นและน่าสนใจของป้อมปราการแห่งนี้คือ ปืนฬหญ๋ บนกำแพงป้อมจะมีปืนทั้งหมด 14 กระบอก ปืนใหญ่ของฮอลแลนด์ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงฐานอำนาจบนคาบสมุทรตั้งแต่ต้นคริสต์ศักราชที่  1600 โดยปืนใหญ่ทางฮอลแลนด์ได้มอบเป็นของที่ระลึกให้แก่องค์สุลต่านยะโฮร์ในปีค.ศ.  1606   ปืนใหญ่นี้ถูกนำมายังปีนังหลังจากแย่งชิงมาจากโปรตุเกส และหนึ่งในปืนใหญ่เหล่านี้มีปืนใหญ่ชื่อ Seri Rambai  ( ศรีรัมไบ ) สร้างโดยชาวดัตช์ในปี 1603 ชาวท้องถิ่นเชื่อว่า ใครอยากมีลูกให้มาบนที่นีโดยวางพวงลัยดอกไม้พาดกับกระบอกปืน และก็ตั้งจิตอธิฐานขอพร
           

 Kek Lok Si Temple

เก็กลกสี่ รู้จักกันในอีกชื่อหนี่งคือ Temple of Supreme Bliss  กล่าวกันว่า เป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย และสวยงามที่สุดวัดหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ที่อีร์อิตัม แต่เดิมเชื่อกันว่าเนินเขาในบริเวณนี้ (ชื่อ ฮีซานหรือเนินเขานกกระเรียน) มีฮวงจุ้ยดี เหมาะกับการสร้างวัด แต่ในความจริง สาเหตุที่วัดแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เป็นเพราะนักบวชลัทธิเต๋าและพระสงฆ์ศึกษาธรรมกันอยู่ที่นี่ วัดเก็กลกสี่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1893 พระภิกษุที่สร้างวัดนี้คือพระเปียว เหลียน พระจีนจากมณฑลฟูเจี๊ยน ท่านเลือกทำเลบนเชิงเขาเอเยอร์อิตัมแห่งนี้เป็นทำเลในการก่อสร้างวัดให้โดดเด่นมองเห็นได้แต่ไกลเมื่อเดินทางมาจากเมืองจอร์จทาวน์ และ จักรพรรดิแมนจู กวนซูพระราชทานพระราชานุญาตให้สร้างวัด รวมทั้งพระราชทานแผ่นจารึกและพระไตรปิฎกจำนวน 70,000 ฉบับแก่วัด ในขณะที่จักรพรรดิพระองค์อื่น เช่น จักรพรรดิกวางสี่และจักรพรรดินีฉือสี่แห่งราชวงศ์ชิงทรงศรัทธาวัดแห่งนี้อย่างมากและบริจาคสิ่งของมากมาย สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในวัดแห่งนี้ คือ Ban Po Thar (เจดีย์พระพุทธเจ้า 10,000 พระองค์) มีความสูง 30 เมตรใช้ระยะเวลาก่อสร้างกว่า 20 ปี สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1930 เจดีย์ดังกล่าวตกแต่งด้วยพระพุทธรูปสำริดและพระพุทธรูปศิลาขาวทั้งหมด 10,000 องค์ โดยสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระโพธิสัตว์ Tsi Tsuang Wang เนื่องจากองค์พระโพธิสัตว์ทรงเลือกที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ประสบทุกข์เข็ญแทนการเข้าสู่นิพพานหลังจากการตรัสรู้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามัคคีระหว่างนิกายมหายานและหินยาน ลักษณะของเจดีย์เกิดจากการผสมผสานฐานเจดีย์แบบจีน ตัวเจดีย์ตามแบบไทย และยอดเจดีย์แบบพม่าเข้าด้วยกัน และรูปหล่อเจ้าแม่กวนอิมสำริดสูง 30.2 เมตร




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น