วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

2. ย้อนประวัติศาสตร์มาเลเซีย



                             ตอนต้นประวัติศาสตร์  ชาวมาเลย์ในยุคแรก ๆ ตั้งถิ่นฐานรวมตัวกันอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ทางตอนเหนือของแหลมมลายู เมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ในช่วง ๑,๐๐๐ ปีแรก มีรายละเอียดเกี่ยวกับแหลมมลายูไม่มากนัก เรื่องราวของแหลมมลายู และดินแดนแถบนี้ ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานครั้งแรก เมื่อคริสตศตวรรษที่ ๕ ดังปรากฎในบันทึกของผู้แสวงบุญชาวจีนสองคน ที่เดินทางโดยเรือจากจีนไปยังพุทธภูมิในอินเดีย  ต่อมาในครคิสตศตวรรษที่ ๙ และ ๑๐ ก็ได้มีการบันทึกประวัติของดินแดนแถบนี้  ชาวอินเดียได้กล่าวถึงดินแดนแถบนี้ไว้ในพงศาวดารเรื่องรามเกียรติ์และตามเอกสารอื่น ๆ  เมื่อเส้นทางสายไหมถูกพวกป่าเถื่อนก่อกวน ทำให้ราชวงศ์จีนต้องหันมาใช้เส้นทางทะเลตอนใต้มากขึ้น
  เรือสำเภาจีน  

      มีผลให้ดินแดนในแหลมมลายู กลายเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างตะวันออกไกลคือ จีนกับเอเซียใต้คือ อินเดียกับประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลาง ดินแดนแถบนี้ได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรสำคัญ ๆ ตามลำดับคือ อาณาจักรศรีวิชัย อันเป็นอาณาจักรเก่าแก่ของอินโดนีเซีย และนับถือพุทธศาสนา ได้แพร่อำนาจเข้าครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ในแหลมมลายู ในพุทธศตวรรษที่ ๑๔



ต่อมาในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔ อาณาจักรฮินดูบนเกาะชวา คือ อาณาจักรมัชปาหิต และอาณาจักรสุโขทัยได้แผ่อำนาจเข้ามาแทนที่ แหลมมลายูจึงเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนา และศาสนาฮินดูมาก่อน
  อาณาจักรสุโขทัย  

 เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๙๔๔ อาณาจักรที่ถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของมาเลเซีย ปัจจุบันคือมีผู้ปกครองคนแรกชื่อเจ้าชายปรเมศวร์ ได้สร้างหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ ให้กลายเป็นอาณาจักรและศูนย์การค้า ระหว่างอาณาจักรมีชื่อว่า มะละกา (Malacca) ทำการค้าอย่างแน่นแฟ้นกับราชวงศ์หมิง (Ming) ของจีน ภายหลังได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม เพื่อรับความคุ้มครอง และประโยชน์ทางการค้าจากบรรดาอาณาจักรต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งตอนเหนือของเกาะสุมาตรา รวมทั้งเพื่อให้พ้นจากอิทธิพลของอาณาจักรสุโขทัย และมัชปาหิต
















            ขอกล่าวย้อนหลังว่ามะละกาเป็นเมืองประเทศราชของไทยมาช้านาน โดยที่มะละกาได้รับวัฒนธรรมไทยไว้มากกว่าแห่งอื่น ซึ่งยังคงปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน ตามลำดับสมัยได้ดังนี้.....

                  ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ฯ ราชอาณาจักรสุโขทัยได้แผ่ออกไปอย่างกว้างขวางใหญ่ไพศาล แผ่นดินในแหลมมลายูทั้งหมด รวมอยู่ในราชอาณาจักรไทย ดังหลักฐานที่ปรากฎในจดหมายเหตุของจีน แห่งราชวงศ์หงวน ซึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ.๑๘๓๘ อันเป็นปีที่ ๑๘ ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง ฯ นั้น พระองค์ได้เสด็จยาตราทัพลงไประงับการจลาจล ในแหลมมลายูทางภาคใต้ ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงได้กล่าวถึงอาณาเขตของกรุงสุโขทัยว่าครอบคลุมไปตลอดแหลมมลายู

              จากหลักฐานในจดหมายเหตุของจีน และหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ฯ สมัยสุโขทัย แสดงให้เห็นว่า มลายูอยู่ในการปกครองของอาณาจักรไทยมาเป็นเวลาเกือบ ๘๐๐ ปีมาแล้ว และในสมัยอยุธยาตอนต้น  พระราชพงศาวดารในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าเมืองมลายู และเมืองมะละกาเป็นประเทศราชของไทย  ผู้ครองนครได้ถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทองแก่ไทยเป็นประจำทุกปี ในฐานะประเทศราช ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารของจีน คือ

   ดอกไม้ทอง - ดอกไม้เงิน  

                ในพระราชพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง เมื่อปี พ.ศ.๑๙๔๐ ได้กล่าวถึงการที่พระเจ้าจักรพรรดิจีนได้ส่งขันทีที่ชื่อยันฉิ่ง เป็นทูตมายังเมืองมะละกา ได้กล่าวว่า "ประเทศนี้ไม่มีกษัตริย์และไม่เรียกอาณาจักร แต่เป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรไทย ซึ่งต้องส่งทองคำเป็นบรรณาการแก่ไทยเป็นประจำปี ๆ ละ ๔๐ ตำลึง  หัวหน้าชื่อไป๋ลีสูล่า (ปรเมศวร)..."

                นอกจากจีนแล้วยังมีชาติตะวันตกในสมัยนั้นยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือดินแดนแหลมมลายูด้วย ชาติแรกคือ โปร์ตุเกส ซึ่งเป็นชาวยุโรปชาติแรก ที่เข้ามาในภูมิภาคนี้ ได้มีชาวโปร์ตุเกสที่เป็นนักประวัติศาสตร์ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๓๓ - ๒๑๙๒ ได้กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรไทย ในสมัยอยุธยาครั้งนั้นไว้ในหนังสือชื่อ เอเชีย โปร์ตุเกซา (Asia Portugueza) ว่ามหาอาณาจักรไทยในเวลานั้น เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดอาณาจักรหนึ่งในเอเชียตะวันออก นอกจากนั้นก็มีอาณาจักรจีน และอาณาจักรพิชัยนคร (อยู่ในอินเดีย)  มีแม่น้ำสายใหญ่ผ่านกลางประเทศตั้งแต่เหนือลงมาใต้ มหาอาณาจักรมีความยาว ๙๙๐ ไมล์   ทางตะวันตกจดอ่าวเบงกอล ทางใต้จดมะละกา ทางเหนือจดประเทศจีน และทางตะวันออกจดเขมร พื้นที่เป็นภูเขา และที่ราบ มีประชาชนหลายเชื้อชาติหลายภาษา เข้ามาพึ่งพิงอาศัย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

           
              ชาวตะวันตกอีกชาติหนึ่งคือชาวฝรั่งเศสได้บันทึกยอมรับอำนาจของไทยเหนือดินแดนในแหลมมลายู คือ เมอซิเออร์ ลานิเยร์ (Monsieur Lanier) ได้เข้ามายังเมืองไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รวบรวมจดหมายเหตุฝรั่งเศส ซึ่งชาวฝรั่งเศสได้บันทึกไว้ โดยได้กล่าวถึงราชอาณาจักรไทยสมัยอยุธยา ในเวลานั้นว่า "เวลานั้นเจ้าแผ่นดินเขมร ยะโฮร์ ปัตตานี ไทรบุรี และยำบิ ล้วนแต่เป็นเมืองขึ้นของไทยทั้งนั้น และทุก ๆ ปี ต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทอง และเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามทุกคน"

       
                        กลับมาดูเหตุการณ์ในปีพ.ศ.๒๐๕๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา โปร์ตุเกสได้ส่งกองเรือสินค้าเดินทางมาถึงเมืองมะละกา ได้เกิดเป็นปรปักษ์กับชาวอาหรับ และชาวพื้นเมือง จึงถูกยึดเรือ จึงได้ขอร้องไปยังผู้สำเร็จราชการเมืองกัวให้มาช่วยเหลือ มีการยกกำลังมายังเมืองมะละกาในปี พ.ศ.๒๐๕๔ ยึดเมืองมะละกาได้ และขับไล่พวกอาหรับออกไป และเมื่อทราบว่ามะละกาเป็นเมืองขึ้นของไทย จึงได้แต่งทูตเดินทางเข้ามาเจรจาทางไมตรีขอเมืองมะละกาจากไทยในปี พ.ศ.๒๐๖๒ ทางกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่หันไปนับถือศาสนาอิสลามแล้ว ประกอบกับไทยได้ทอดทิ้งเมืองมะละกามาช้านาน เพราะหนทางไกล การไปมาติดต่อปกครองดูแลไม่สะดวก จึงทรงยอมรับไมตรีของโปร์ตุเกส และยอมยกเมืองมะละกาให้โปร์ตุเกส นับเป็นครั้งแรก ที่ไทยเริ่มเสียดินแดนในแหลมมลายูให้แก่ชาวตะวันตก
             



โปร์ตุเกสครอบครองมะละกาอยู่ ๑๓๐ ปี ก็เสียมะละกาให้แก่ฮอลันดาซึ่งได้เข้ามายึดครองเซลังงอร์ และเปรัคไว้เป็นที่ทำการค้าแล้ว ต่อมาฮอลันดาได้ยกมะละกาให้อังกฤษ เพื่อแลกกับเมืองเบนดูเลนหรือปันกุลัน

อังกฤษได้เริ่มเข้ามาติดต่อกับประเทศไทย ในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ในสมัยอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.๒๑๕๕ โดยมาขออนุญาตตั้งสถานีการค้า ตามหัวเมืองชายทะเลของไทย และในกรุงศรีอยุธยา จากนั้นก็ได้ติดต่อกันอีกเป็นระยะ ๆ ตลอดมา

อังกฤษได้มุ่งครอบครองดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ของแหลมมลายู เมื่อเห็นว่า เมืองใดมิได้มีหลักฐาน เป็นเมืองขึ้นของไทยอย่างเด็ดขาดโดยตรง ก็และเล็มเลียบเคียงเอากับสุลต่านผู้ครองเมือง แต่ถ้าเห็นว่าเมืองใดเป็นเมืองขึ้นของไทยอย่างเด็ดขาดโดยตรง ก็ยังไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย เช่น เมืองไทรบุรี (เคดาห์)  กลันตัน ตรังกานู และเปอร์ลิส เป็นต้น

                    ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แหลมมลายูคงอยู่ในราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา แต่ดินแดนบางส่วนของแหลมมลายู เริ่มถูกอิทธิพลของชาวตะวันตกหลายชาติ เข้ามายึดครองไปอยู่ในอำนาจของตน

จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ในสมัยรัตนโกสินทร์ อังกฤษกับไทย ได้มีการทำสัญญาทางพระราชไมตรี และการค้า
พานิชย์ หลายด้าน

ในปี พ.ศ.๒๓๒๙ พระยาไทรบุรีแข็งเมือง เพราะไทยกำลังผลัดแผ่นดินใหม่ และกำลังยกกองทัพไปปราบเมืองปัตตานีที่แข็งเมืองอยู่เช่นกัน เมื่ออังกฤษมาขอเช่าเกาะปีนัง จากพระยาไทรบุรี ๆ จึงยอมให้เช่าโดยมอบหมายให้อังกฤษเป็นผู้คุ้มครอง และอังกฤษยังได้ขอซื้อดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ของรัฐไทรบุรี ที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะปีนัง โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันพวกโจรสลัด ซึ่งการที่พระยาไทรบุรี ทำการเช่นนี้ทำให้ไทยเสียเกาะหมากหรือปีนังให้อังกฤษ เป็นการเสียดินแดนในแหลมมลายูเป็นครั้งที่สองของไทย ซึ่งอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ เดิมเกาะปีนังขึ้นอยู่กับเมืองไทรบุรี ซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของไทย
                          
               

เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๘ ไทยเริ่มเสียเอกราชทางศาล โดยอังกฤษได้กำหนดให้คนในบังคับอังกฤษ เมื่อทำผิดกฎหมายในราชอาณาจักรไทย ไม่ต้องขึ้นศาลไทย ศาลกงสุลของอังกฤษจะเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีเอง ประกอบกับอังกฤษได้ให้ไทยกู้เงินมาสร้างทางรถไฟสายใต้  สัญญานี้เรียกว่า สัญญากรุงเทพ ฯ (Bangkok Treaty) กระทำในปี พ.ศ.๒๔๕๒

สำหรับเมืองที่เป็นอิสระและกึ่งประเทศราชของไทยที่อังกฤษหาเหตุยึดเอาไปเป็นเมืองขึ้นได้แก่...

                    รัฐเปรัค  ในปี พ.ศ.๒๔๑๖ ได้เกิดจลาจลในรัฐเปรัค อังกฤษขอให้สุลต่านแห่งเปรัคทำการปราบปราม แต่ไม่สามารถปราบได้ อังกฤษจึงถือโอกาส เข้าปราบปรามเอง เมื่อสงบราบคาบแล้วอังกฤษก็ไม่ยอมถอนกำลังกลับ ในที่สุดรัฐเปรัคก็ตกเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ โดยอังกฤษส่งข้าหลวงใหญ่ (Resident) มาปกครอง

                    รัฐเซลังงอร์  ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน รัฐเซลังงอร์ก็ได้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม  และบังเอิญ นายทหารอังกฤษถูกฆ่าตาย อังกฤษ จึงถือโอกาสบังคับทำนองเดียวกับรัฐเปรัค และให้คนอังกฤษเป็นข้าหลวงใหญ่ประจำอยู่ในราชสำนักสุลต่านด้วย

                    รัฐนครีเซมปิลัน  ในปี พ.ศ.๒๔๑๖ เกิดการแย่งชิงราชสมบัติในรัาฐนครีเซมปิลัน และเกิดจลาจลทั่วไป อังกฤษถือเป็นข้ออ้างเข้าไปรักษาความสงบ และยึดเป็นรัฐในอารักขา

                    รัฐปาหัง  เป็นรัฐเก่าแก่ของไทย เคยมีคนไทยไปเป็นเจ้าเมืองปกครองมาแต่โบราณ ได้เกิดเหตุการณ์คนจีนในบังคับอังกฤษ ถูกฆ่าตายในเมืองปากัน รัฐบาลอังกฤษที่สิงคโปร์ขอให้จัดการสอบสวน และส่งตัวคนร้ายไปให้อังกฤษที่สิงคโปร์ แต่สุลต่านรัฐปาหังไม่ยอมปฎิบัติตาม แต่ในที่สุดก็ยอมให้อังกฤษตั้ง ข้าหลวงใหญ่มาประจำเช่นเดียวกับรัฐอื่น ๆ

                    ในที่สุดรัฐต่าง ๆ ในแหลมมลายูได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเกือบหมดสิ้น คงเหลือรัฐยะโฮร์ซึ่งเป็นรัฐอิสระ ปกครองตนเองได้เพียงรัฐเดียว กับอีกสี่รัฐของไทยคือ ไทรบุรี เปอร์ลิส กลันตัน และตรังกานู
                     อังกฤษตั้งสหพันธรัฐมลายู ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ อังกฤษได้รวมรัฐทั้งสี่ที่ได้มาใหม่คือ รัฐปาหัง เปรัค เซลังงอร์ และนครีเซมปิลัน เข้าเป็นสหพันธรัฐมลายา (Fedetated Malaya Ststes)  โดยมีเมืองกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งอยู่ในรัฐเซลังงอร์เป็นเมืองหลวง

                     ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ไทยต้องยอมยกดินแดนสี่รัฐมลายู ให้แก่อังกฤษเพื่อแลกกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (Extra Tentoriality)โดยให้คนในบังคับอังกฤษทุกประเภท ต้องขึ้นศาลไทย และสนธิสัญญาที่อังกฤษทำกับไทยอีกหลายกรณี ในลักษณะที่เอาเปรียบทุกด้าน เป็นการเข้ามาทำสัญญาในลักษณะที่มีเรือรบ และมีปืนเข้ามาเจรจาด้วย การสูญเสียดินแดนครั้งนี้นับเป็นการสูญเสียที่มีความหมายแก่ไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งสี่รัฐมีความผูกพันกับราชอาณาจักรไทยอย่างใกล้ชิด มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและต่อเนื่องกันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี และเปอร์ลิส มีประชากรพื้นเมืองเป็นคนไทยแท้ ๆ และเป็นชาวพุทธ ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนดังกล่าว นับร้อยปีมาแล้ว ไม่อาจละทิ้งถิ่นฐานอพยพออกมาได้ ต้องกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในดินแดนดังกล่าวไป

  ประเทศไทยเสียเมืองประเทศราชครั้งที่ 13  



         
การปกครองระหว่างเป็นอาณานิคมของอังกฤษ  อังกฤษได้จัดการปกครองรัฐต่างๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ กัน บางครั้งอังกฤษปกครองเองโดยตรง ผู้ปกครองและข้าราชการล้วนเป็นชาวอังกฤษ บางรัฐปกครองแบบเมืองขึ้น โดยให้สุลต่านปกครองตามเดิม อังกฤษเพียงส่งข้าหลวงมาควบคุม การแบ่งการปกครองเป็นดังนี้
                   

การปกครองแบบเสตรต เซตเติลเมนต์ (Straits Selllement)  ได้แก่ เกาะปีนัง เกาะสิงคโปร์ และมะละกา อังกฤษได้เข้าปกครองโดยตรง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๖๒ - ๒๔๑๐ เดิมอยู่ในความดูแลของบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company)  ต่อมาอังกฤษได้ส่งข้าหลวงมาควบคุม จึงให้ขึ้นตรงต่อกระทรวงอินเดีย แล้วเปลี่ยนไปสังกัดกระทรวงอาณานิคม เรียกรัฐทั้งสามนี้ใหม่ว่า คราวน์ โคโลนี (Crown Colony)  โดยอังกฤษส่งข้าหลวง (Governor)  มาควบคุม มีอำนาจในการบริหารในฐานเป็นประมุขของรัฐ รับผิดชอบต่อกษัตริย์อังกฤษโดยตรง ในการบริหารงาน
                    รัฐนอกสหพันธ์ (Unfederated States)  ได้แก่ สี่รัฐมลายู ซึ่งอังกฤษได้ไปจากไทย รวมกับรัฐยะโฮร์ (Johore) ในแต่ละรัฐมีที่ปรึกษาประจำ แต่ให้ชาวมาเลย์มีส่วนร่วมในการปกครองในรัฐเหล่านั้น มากกว่ารัฐในสหพันธ์


           ในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๔ - ๒๔๘๕ ญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองมลายู และบอร์เนียว จนสงครามยุติในปี พ.ศ.๒๔๘๘

                              ก่อนสงครามมหาเอเซียบูรพา ได้มีการกระตุ้นเรื่องเชื้อชาติมาเลย์จากหลายองค์กร ความรู้สึกชาตินิยมยิ่งรุนแรงขึ้น ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ ได้มีการตั้งพรรคอัมโน (United Malays National Organization - UMNO) เพื่อเป็นหัวหอกในการต่อสู้ให้ได้อิสรภาพของประเทศ




 ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๐ มลายูก็ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๐๐ ของสหพันธ์มลายู ถือว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แต่มีบัญญัติว่าประชาชนมีสิทธิที่จะนับถือศาสนาอื่นได้



จากนั้นมา ... มาเลเซียก็เป็นประเทศที่กำลังพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการผสมผสานทางสังคมด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม  โดยเฉพาะ New generation ที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษา ภายใต้นโยบายเอกภาพรวมเป็นหนึ่งเดียว ของ ดร.มหาเธร์ มูฮัมหมัด ก่อให้ความก้าวหน้าในภาคส่วนต่าง ๆ หลากหลายด้าน จนถึงปัจจุบัน.....




             






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น